สำหรับต้นศตวรรษที่ 21 การพูดถึงการต่อสู้ทางชนชั้นหรือการเมืองเรื่องชนชั้น
ดูจะเป็นอะไรที่ออกจะประหลาดอยู่ไม่น้อยในสายตาของผู้คนทั่วไป
ยิ่งเมื่อสิ่งที่เรียกว่าขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมใหม่ (new social
movement) ปรากฏตัวขึ้นในฐานะการต่อสู้ที่ก้าวข้ามเรื่องของชนชั้น
โดยหันไปให้ความสำคัญกับประเด็นปัญหาเฉพาะที่ตัดข้ามเส้นแบ่งระหว่างชนชั้นต่างๆ
อย่างเช่นปัญหาเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และสิทธิมนุษยชน ก็ยิ่งทำให้การทำความเข้าใจเรื่องชนชั้นดูจะสำคัญน้อยลง
แต่ทั้งหมดนี้มันแปลว่ามิติทางชนชั้นได้หายไปจากโลกในปัจจุบันแล้วหรือเปล่า?
หากจะมีใครสักคนที่ไม่เห็นด้วยกับข้อสรุปที่ว่าชนชั้นหมดความสำคัญลงแล้วในปัจจุบัน
ศาสตราจารย์ Göran Therborn นักสังคมวิทยาแนวมาร์กซิสต์จากมหาวิทยาลัย Cambridge คงเป็นผู้หนึ่งที่คัดค้านข้อสรุปดังกล่าวอย่างแข็งขัน
Therborn เป็นนักวิชาการคนสำคัญที่พยายามนำเสนอบทวิเคราะห์ต่อปัญหาความเปลี่ยนแปลงเรื่องชนชั้นที่เกิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่
20 มาจนถึงต้นศตวรรษที่ 21 อย่างเป็นระบบ
เพื่อแสดงให้เห็นว่าการเมืองเรื่องชนชั้นยังคงมีความสำคัญอยู่แม้ในช่วงเวลาที่มันได้รับความสนใจน้อยลง
ในบทความว่าด้วยเรื่องชนชั้นในศตวรรษที่
21 (Class in The 21st Century) เขาเสนอว่าถ้าหากชนชั้นที่เป็นตัวแสดงหลักของศตวรรษที่
20 คือชนชั้นแรงงานกรรมกร (Working Class) ชนชั้นที่เป็นตัวแสดงหลักในศตวรรษที่ 21 นี้ก็คือชนชั้นกลางระดับโลก
(Global Middle Class) นั่นเอง
คำถามคือทำไมชนชั้นแรงงานจึงพ่ายแพ้หรือหมดความสำคัญลงไปจากศตวรรษที่แล้ว
Therborn อธิบายว่าสาเหตุหลักของความพ่ายแพ้ของชนชั้นแรงงานในศตวรรษที่
20 มีอยู่ 2 ประการ ประการแรก กระบวนการแปลงทุกสิ่งให้เป็นเรื่องทางการเงิน
(Financialization) ซึ่งเป็นฐานของลัทธิเสรีนิยมใหม่ ได้ทำให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนบุคคลมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นจนไปยับยั้งกระบวนการความขัดแย้งแบบวิภาษวิธีหลักแบบมาร์กเซียน
(Marxian Grand Dialectic) ซึ่งพูดถึงความขัดแย้งระหว่างพลังการผลิตที่มีลักษณะเป็นส่วนรวมและเข้าถึงได้ในสังคมวงกว้างมากขึ้นกับความสัมพันธ์ทางการผลิตที่ถูกทำให้กลายเป็นของเอกชนและจำกัดอยู่ในมือคนกลุ่มเล็กลงเรื่อยๆ
ดังนั้น การปฏิวัติจึงไม่เกิดขึ้นตามคำทำนายของมาร์กซ์เนื่องจากกระบวนการวิภาษวิธีดังกล่าวสะดุดหยุดลง
ประการที่สอง เพราะการลดลงของกิจกรรมและศักยภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรม
(De-industrialization) ในประเทศพัฒนาแล้วได้เข้าไปขัดขวางความขัดแย้งระหว่างกรรมกรกับนายทุนที่เคยมีมานาน เนื่องจากกระบวนการดังกล่าวทำให้ชนชั้นกรรมกรในประเทศอุตสาหกรรมเดิมอ่อนแอลงและหมดอำนาจต่อรอง
เนื่องจากนายทุนต้องย้ายโรงงานไปยังพื้นที่ชายขอบหรือประเทศกำลังพัฒนา
เพื่อแสวงหาพื้นที่ของแรงงานและแหล่งทรัพยากรราคาถูกใหม่ๆ มากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ถึงการปฏิวัติของชนชั้นแรงงานจะพ่ายแพ้ไปในศตวรรษที่
20 กระนั้น Therborn ก็ยังมองโลกในแง่ดีว่าอย่างน้อยขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิวัติของชนชั้นแรงงานในช่วงเวลาดังกล่าวได้ทิ้งมรดกที่สำคัญๆ
เอาไว้อยู่ 4 ประการด้วยกัน
ประการแรกคือเป็นตัวกระตุ้นให้โลกทุนนิยมยอมปฏิรูปตัวเองจากภายในระบบ
เช่น การกระจายที่ดินหรือการพัฒนาสิทธิทางสังคมขั้นพื้นฐานต่างๆ ประการที่สองคือ
เป็นตัวช่วยลดพลังของลัทธิเหยียดเชื้อชาติและลัทธิล่าอาณานิคมของทวีปยุโรปและอเมริกันให้น้อยลง
ประการที่สามคือ
มันได้สร้างเหล่านักสู้แห่งลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ยอมสู้ตายขนาดเสียสละชีวิตตนเองขึ้นมาเป็นจำนวนมากทั่วทุกมุมโลก
และประการสุดท้ายคือ มันช่วยสร้างความหลากหลายทางภูมิรัฐศาสตร์ด้วยการทำให้โลกของการเมืองระหว่างประเทศมีหลายขั้วอำนาจ
ที่ไม่ใช่แค่สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ แต่ยังรวมถึงประเทศจีนและรัสเซีย (สหภาพโซเวียตในเวลาดังกล่าว)
เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่
21 ความสำคัญของชนชั้นกลางปรากฏเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ Therborn
ชี้ให้เห็นความยุ่งยากในการนิยามความหมายว่าอะไรคือชนชั้นกลางกันแน่
นิยาม 3 แบบที่เขายกมาเป็นตัวอย่างในบทความมีความแตกต่างกันในเรื่องของจำนวนรายได้ที่ควรจะได้รับต่อวันเพื่อจะถูกนับว่าเป็นสมาชิกของชนชั้นกลาง
แต่ลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งของการเป็นชนชั้นกลางคือการมีหน้าที่การงานที่มั่นคงและได้รับค่าแรงอย่างสม่ำเสมอ
Therborn อธิบายถึงความสำคัญของชนชั้นกลางในศตวรรษที่ 21
โดยการวิเคราะห์ใน 2 มิติ
คือการมองชนชั้นกลางในฐานะชนชั้นของผู้บริโภค และความสัมพันธ์ของชนชั้นกลางต่อระบอบประชาธิปไตย
การมองชนชั้นกลางในฐานะชนชั้นของผู้บริโภค
คือการชี้ให้เห็นว่าวัฒนธรรมบริโภคนิยมในปัจจุบันเป็นผลมาจากการที่โลกถูกทำให้ยอมรับรสนิยมในการบริโภคแบบชนชั้นกลาง
และยิ่งไปกว่านั้น ชนชั้นกลางยังทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างชนชั้นคนรวยกับคนจน
โดยในด้านหนึ่งก็คือการทำให้สังคมยอมรับการบริโภคแบบอภิสิทธิ์ของคนรวย
ในขณะที่คนจนก็ได้รับแรงบันดาลใจที่อยากจะบริโภคแบบเดียวกับชนชั้นกลาง
ประการที่สอง
ชนชั้นกลางถูกนำไปเชื่อมโยงกับการพัฒนาประชาธิปไตย
โดยที่สื่อมวลชนสายเสรีนิยมมักจะมองการเติบโตและรุ่งเรืองขึ้นของชนชั้นกลางว่าเป็นแนวหน้าของการปฏิรูประบอบประชาธิปไตย
Therborn
ยกกรณีอียิปต์ว่าเป็นตัวอย่างของการปฏิวัติโดยชนชั้นกลางที่ก้าวหน้าของศตวรรษที่ 21
แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ชี้ว่าชนชั้นกลางมีลักษณะที่ “เปลี่ยนไปตามสถานการณ์” (situationally) ดังนั้นชนชั้นกลางจึงเป็นพันธมิตรที่ไว้ใจไม่ได้ของทั้งฝ่ายประชาธิปไตยและฝ่ายเผด็จการ
ในบางช่วงเวลาก็เป็นแนวหน้าในการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย
แต่ในบางเวลาก็สามารถเป็นแนวหน้าในการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้เช่นเดียวกัน
Therborn ยังเปรียบเทียบความไม่เสมอภาคในความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นกับชาติระหว่างศตวรรษที่
20 และ 21 ใน 2 มิติ
คือความไม่เสมอภาคระหว่างชนชั้นต่างๆ ภายในชาติ และความไม่เสมอภาคระหว่างชาติต่างๆ
เขาเสนอว่า ในศตวรรษที่ 20 ความไม่เสมอภาคระหว่างชนชั้นต่างๆ ภายในชาติมีช่องว่างที่ลดลงอันเนื่องมาจากการต่อสู้เคลื่อนไหวของขบวนการแรงงาน
นำไปสู่การสร้างรัฐสวัสดิการในหลายที่ แต่มิติของความไม่เสมอภาคระหว่างชาติต่างๆ กลับเพิ่มมากยิ่งขึ้น
อันเป็นผลมาจากลัทธิล่าอาณานิคม
แต่เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 สถานการณ์ได้กลับตาลปัตร ความไม่เสมอภาคระหว่างชนชั้นต่างๆ
ภายในชาติมีช่องว่างเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการพังทลายของรัฐสวัสดิการภายใต้กระแสของลัทธิเสรีนิยมใหม่
ในขณะที่ความไม่เสมอภาคระหว่างชาติต่างๆ กลับลดลงอัน เนื่องมาจากการให้ความช่วยเหลือและนโยบายการพัฒนาในระดับระหว่างประเทศ
ในบทสรุป Therborn เสนอให้มีการนิยามชนชั้นเสียใหม่โดยชวนให้เราคิดถึงชนชั้นใหม่ที่เรียกว่า
Plebeian หรืออาจแปลได้ว่า “ชนชั้นสามัญชน”
Plebeian เป็นการรวมตัวอย่างหลวมๆ
ของกลุ่มคนที่มาจากหลายกลุ่มหลายชนชั้นทางสังคม ตั้งแต่คนจนเมือง
ชนพื้นเมืองกลุ่มน้อยต่างๆ และกลุ่มชนชั้นกลางหัวก้าวหน้า
การนิยามชนชั้นแบบใหม่นี้เป็นการมองชนชั้นเป็นเข็มทิศในลักษณะหลวมๆ ที่กลุ่มคนซึ่งถูกกดขี่
ถูกขูดรีด และสูญเสียผลประโยชน์จากกลุ่มต่างๆ สามารถมารวมตัวกันภายใต้เป้าหมายเพื่อการต่อสู้ในทิศทางเดียวกัน
การนิยามชนชั้นแบบนี้เป็นการนิยามในเชิงอัตวิสัยที่เอาความรู้สึกถูกกดขี่ของคนกลุ่มต่างๆ
เป็นตัวตั้ง ซึ่งแตกต่างจากการนิยามชนชั้นแบบภววิสัยของ Marx ที่กำหนดว่าคนคนหนึ่งอยู่ในชนชั้นไหนโดยดูจากตำแหน่งแห่งที่ในโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่คนคนนั้นอาศัยอยู่
Therborn ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจว่า สำหรับเขาแล้ว ถ้าหากภูมิรัฐศาสตร์เก่าของศตวรรษที่
20 คือทวีปยุโรป ภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ที่อาจเอื้อต่อการสร้างความเปลี่ยนแปลงโดยฝ่ายซ้ายในศตวรรษที่
21 อาจอยู่ในทวีปเอเชียนั่นเอง
ที่มา: GÖRAN THERBORN. New Left Review 78, November-December 2012. https://newleftreview.org/II/78/goran-therborn-class-in-the-21st-century
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น