ผมเดาว่าทุกคนในห้องนี้คงคิดเหมือนกันว่าเสรีภาพเป็นอุดมคติ
เสรีภาพถูกสร้างขึ้นให้อยู่ในดีเอ็นเอทางวัฒนธรรมของพวกเรา
มันถูกสร้างขึ้นให้อยู่ในดีเอ็นเอของความสามารถหยั่งรู้ของมนุษย์
แต่ผมคิดว่าเสรีภาพ-อุดมคติของเสรีภาพ-ได้ถูกยึดกุมมากเกินไปโดยพวกนักเศรษฐศาสตร์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ทั้งการเป็นผู้ใช้ตลาดเสรี เศรษฐกิจเสรี กระทั่งโลกเสรี
ผมคิดว่านั่นทำให้เสรีภาพกลายเป็นอุดมคติที่อ่อนแอและบางเบาแทนที่จะเป็นอุดมคติอันรุ่มรวยอย่างที่มันเคยเป็น
และผมคิดว่ามันสามารถเป็นเช่นนั้นได้อีกครั้งหนึ่ง เป็นอุดมคติที่เราจะนึกถึงเมื่อเราพูดว่าคนๆ
หนึ่งเป็นเสรีชนที่แท้จริงหรือไม่ และสังคมหนึ่งๆ เป็นสังคมแห่งเสรีชนหรือไม่
ผมอยากจะพูดกับพวกคุณเกี่ยวกับวิธีการเพิ่มคุณค่าให้กับแนวคิดเสรีภาพที่กล่าวถึงนี้
และเพื่อจะแนะนำวิธีการดังกล่าว ผมขอกล่าวถึงบทละครเรื่องหนึ่ง
ซึ่งพวกคุณหลายคนอาจรู้จัก เป็นบทละครที่น่ามหัศจรรย์ซึ่งเขียนโดย Henrik
Ibsen ราว 100 ปีก่อน ชื่อว่า “บ้านของตุ๊กตา” (A Doll’s House)
และพวกคุณจำนวนหนึ่งที่รู้จักคงจำได้ว่าตัวละครหลักชื่อ
Nora
หญิงสาวที่แต่งงานกับ Torvald นายธนาคารหนุ่มผู้ร่ำรวย
โลกที่ Ibsen กำลังเขียนถึงคือ สแกนดิเนเวีย ราวทศวรรษที่ 1870
ซึ่งเป็นโลกที่ผู้หญิงยังมีสิทธิน้อยมาก Torvald เป็นบุคคลที่มีอำนาจทั้งทางกฎหมายและวัฒนธรรมในความสัมพันธ์ที่เขามีกับ Nora
สิ่งที่ผมอธิบายมันฟังดูราวกับว่า
Nora เป็นผู้หญิงที่ถูกกดขี่รังแก แต่ความจริงแล้ว Torvald
เทิดทูน Nora มาก เขาหลงใหลในตัวเธอ
และดังนั้นเขาจึงอนุญาตให้เธอทำสิ่งใดก็ได้ตามที่เธอปรารถนา
ในสิ่งที่พวกเราคิดว่าเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐาน เธอสามารถแต่งกายในชุดที่เธอปรารถนา
เธอสามารถพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปได้ทุกเมื่อที่เธอต้องการและทุกประเด็นที่เธอสามารถเข้าร่วมกับเพื่อนคนใดก็ได้ที่เธออยากจะคบหาด้วย เธอสามารถไปที่โรงภาพยนตร์หรือไม่ก็ได้ตามใจของเธอ
แต่สิ่งเดียวที่ Torvald กำหนดไว้เป็นข้อห้ามต่อ Nora
คือเธอไม่ควรกินขนม macaroon แต่กระนั้นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับ
Nora เพราะเธอสามารถซ่อนขนมเหล่านั้นไว้ในกระโปรงของเธอได้
ด้วยเหตุนี้ Nora จึงเป็นคนที่มีเสรีภาพอย่างเต็มที่ในการทำสิ่งที่เธอต้องการ
ตอนนี้คำถามที่ผมอยากจะให้คุณได้ลองคิด
ก็คือ Nora
ถือเป็นเสรีชน/คนที่มีเสรีภาพหรือไม่ ? และผมคิดว่าเธอไม่ใช่เสรีชน
ขอผมเล่าให้คุณฟังว่าอะไรที่ผมเห็นว่าเป็นปัญหา
และผมหวังว่าคุณจะได้แบ่งปันการหยั่งรู้ไปด้วย ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ในขณะที่ Nora
ไม่ได้ถูกจำกัดการใช้เสรีภาพ ในขณะที่เธอไม่ได้ถูกแทรกแซงจาก Torvald
ในการใช้เสรีภาพขั้นพื้นฐานของเธอ แต่เธอจะมีเสรีภาพเหล่านั้นได้ก็ต่อเมื่อได้รับการอนุญาตจาก
Torvald ก่อน เสรีภาพที่เธอมีจึงเป็นเสรีภาพจากความโชคดี
มันคือเสรีภาพที่เธอได้รับจากความโชคดีในการมีสามีที่ตามใจเธอในการอยู่ร่วมกัน
ด้วยเหตุนี้ Nora จึงขึ้นอยู่กับความกรุณาและความพึงพอใจของ Torvald
เพื่อที่จะสามารถใช้เสรีภาพขั้นพื้นฐานได้
ผมจึงกล่าวว่า Nora
ไม่ใช่เสรีชน เพราะในขณะที่เธอไม่ได้ถูกแทรกแซงในการใช้เสรีภาพ
แต่เธอกลับตกอยู่ภายใต้เจตจำนงของ Torvald อย่างสิ้นเชิง
แบบเดียวกับเจตจำนงของนายทาส เธอถูกครอบงำ (dominated) ในความหมายนั้น
เธอถูกทำให้ตกอยู่ภายใต้เจตจำนงของ Torvald สิ่งที่กำกับควบคุมเธออยู่คือเจตจำนงของเขา
เธอสามารถทำในสิ่งที่ปรารถนาหรือต้องการได้ แต่ด้วยเหตุผลเดียวก็คือเพราะเขามีเจตจำนงที่อนุญาตให้เธอทำเช่นนั้นได้
เธอจึงไม่ใช่เสรีชน
นั่นคือปัญหาที่ว่าทำไมเธอจึงไม่มีสิ่งที่อาจเรียกว่า
“เสรีภาพที่มั่นคง”
เธอเพียงแค่มีเสรีภาพจากความโชคดีที่ขึ้นอยู่กับการอนุญาตของสามีให้เธอสามารถมีเสรีภาพเช่นนั้นได้
ตัวอย่างของ Nora
ได้สอนบทเรียนบางอย่างแก่พวกเรา เพราะปัญหาที่ผมบรรยายในตัวอย่างที่กล่าวไป-และเราจะตระหนักได้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นคือเธอไม่ใช่เสรีชนที่แท้จริง-เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับทุกภาคส่วนของชีวิตมนุษย์ในสังคมเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เสรีภาพจึงยังคงเป็นอุดมคติที่ท้าทาย
ตัวอย่างเช่น ปัญหาดังกล่าวก็เกิดขึ้นในครอบครัว
ตราบเท่าที่วัฒนธรรมยังไม่สนับสนุนการมีกฎหมายที่เราจำเป็นต้องมีเพื่อมอบสิทธิให้กับคู่สามีภรรยาที่จะต่อสู้กับคู่สมรสของเขา
โดยเฉพาะสิทธิของผู้หญิงที่จะต่อสู้กับสามีของพวกเธอ
ปัญหานี้ยังเกิดขึ้นกับสิทธิในโรงเรียนเช่นกัน
เมื่อเด็กสามารถถูกกลั่นแกล้งในชั้นเรียนของเขาได้ถ้าเขาไม่ได้รับการปกป้อง
กระทั่งแม้การกลั่นแกล้งจะยังไม่เกิดขึ้น แต่เด็กคนนั้นก็ถือว่าไม่ได้มีเสรีภาพ
หรือปัญหาดังกล่าวก็เกิดขึ้นในที่ทำงาน ถ้านายจ้างมีสิทธิที่จะไล่ลูกจ้างออกตามใจตนเองโดยไม่มีสาเหตุและไม่มีกระบวนการใดๆ และผมคิดว่าลูกจ้างจำนวนมากกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อชีวิตพวกเขาต้องขึ้นอยู่กับความปรารถนาดีของนายจ้างเพื่อที่จะยังได้รับการจ้างงานต่อไป
และผมคิดว่าในแง่นั้น พวกเขามีความคล้ายกับสถานการณ์ของ Nora
พวกเขาไม่ได้ใช้เสรีภาพขั้นพื้นฐานอย่างที่พึงปรารถนา พวกเขาต้องระวังสิ่งที่ตนเองพูด
บางทีพวกเขาต้องระวังการเลือกพรรคการเมืองที่สนับสนุน พวกเขาต้องระมัดระวังตนเองเพื่อที่จะทำให้นายจ้างพึงพอใจ
นั่นหมายความว่าพวกเขาไร้เสรีภาพเช่นเดียวกับ Nora
ปัญหานี้เกิดขึ้นเช่นกันกับผู้คนจากวัฒนธรรมอื่นและกลุ่มวัฒนธรรมส่วนน้อยที่รับความเสี่ยงของการถูกล้อเลียนและถูกกลั่นแกล้งในพื้นที่สาธารณะอยู่ตลอดเวลา
เมื่อวัฒนธรรมหลักไม่สนับสนุนพวกเขา
เพื่อที่จะมีเสรีภาพ
คุณจำเป็นต้องมีกฎหมายและวัฒนธรรมที่สนับสนุนคุณ ที่สร้างความเข้มแข็งให้คุณ
กฎหมายและวัฒนธรรมซึ่งอนุญาตให้คุณมองไปที่ตาของคนอื่นโดยปราศจากเหตุผลของความกลัวหรือความเคารพจำยอม
ผมคิดว่านั่นจะทำให้คุณมีสิ่งที่เรียกว่า เสรีภาพส่วนบุคคล (personal
freedom) เสรีภาพในฐานะปัจเจกบุคคล
แต่โชคไม่ดีนัก นั่นเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของเรื่องราวทั้งหมด
เพราะถึงแม้ผมกล่าวว่ากฎหมายและวัฒนธรรมเป็นสิ่งจะทำให้คุณเป็นเสรีชนในการใช้เสรีภาพขั้นพื้นฐาน
แต่จะดีกว่าถ้าหากกฎหมายและวัฒนธรรมเหล่านั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของคุณอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกับคนอื่นๆ
ในสังคมด้วย
กฎหมายจะเป็นกฎหมายที่ดีขึ้นถ้ามันเป็นไปในนามของคุณ
ในนามของประชาชน ในนามของคุณที่เสมอภาคท่าเทียมกับคนอื่น
เมื่อคุณได้มีส่วนร่วมในการควบคุมกฎหมายอย่างเท่าเทียมกับคนอื่น มิเช่นนั้นคุณก็จะตกอยู่ภายใต้อำนาจของบุคคลที่เป็นผู้ควบคุมกฎหมายหรือชนชั้นนำที่ควบคุมกฎหมายอยู่
ดังนั้น แม้คุณจะอาศัยอยู่ในประเทศที่มีผู้นำเผด็จการที่สามารถสร้างระบบกฎหมายที่ดีซึ่งสามารถปกป้องปัจเจกชนได้
แต่มันเป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วข้ามคืน หากผู้นำเผด็จการเปลี่ยนความต้องการของตนเอง
คุณไม่ได้มีเสรีภาพที่มั่นคง ความเข้มแข็งของคุณจะหายไปอีกครั้ง
มันขึ้นอยู่กับเจตจำนงของผู้นำเผด็จการ
เช่นเดียวกันหากชนชั้นนำสามารถควบคุมรัฐบาลได้
ตัวอย่างเช่น หากชนชั้นนำทางการเงินสามารถกำหนดนโยบายทางสังคมได้อย่างแท้จริง
เช่นนั้นแล้วชีวิตของทุกคนในสังคมก็จะขึ้นอยู่กับชนชั้นนำกลุ่มนั้น
เช่นเดียวกันกับกรณีของรัฐบาลอาณานิคม ตัวอย่างคือกรณีของสหรัฐอเมริกาในปี
1766
หากคุณจำได้ เมื่อรัฐสภาเวสมินเตอร์ของสหราชอาณาจักรถอนกฎหมายที่เรียกว่าพระราชบัญญัติอากรแสตมป์
(Stamp Act) เพราะการประท้วงที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา
นั่นอาจพูดได้ว่าสหราชอาณาจักรใจดีต่อผู้ใต้อาณานิคมของตนเอง แต่ในการถอดถอนกฎหมายดังกล่าวออกมานั้น
พวกเขาได้ออกกฎหมายที่เรียกว่า Declaratory Act ซึ่งระบุว่าในขณะที่ได้ถอนกฎหมายภาษีอากรแสตมป์ออกมา
แต่สหราชอาณาจักรยังคงมีสิทธิและอำนาจที่จะเก็บภาษีชาวอเมริกันผู้อยู่ใต้อาณานิคมได้ตามที่สหราชอาณาจักรต้องการ
และนั้นคือแก่นสำคัญของความไม่พอใจของชาวอเมริกันที่เกิดขึ้นในปลายทศวรรษที่
1760 นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมรัฐสภาเวสมินเตอร์ของสหราชอาณาจักรจึงเป็นเจ้านายที่ใจดี
เช่นเดียวกับที่ Torvald ใจดีกับ Nora นั่นยังคงเป็นข้ออ้างของสถานะความเป็นนาย
และหากคุณตกอยู่ภายใต้เจตจำนงของคนอื่นหรือในกรณีนี้คือเจตจำนงของประเทศอื่น
คุณไม่สามารถมีเสรีภาพได้เ นื่องจากกฎหมายซึ่งมอบเสรีภาพส่วนบุคคลให้คุณเองก็ยังไม่เข้มแข็งพอเพราะตัวกฎหมายเองก็ดันไปขึ้นอยู่กับเจตจำนงของตัวแสดงอื่นที่แปลกแยกจากตัวคุณ
ในกรณีนี้คือรัฐสภาของประเทศอื่น
ด้วยเหตุนี้เพื่อที่จะมีเสรีภาพที่มั่นคงเข้มแข็ง
เราจำเป็นต้องมีเสรีภาพในความหมายที่สอง นั่นคือ เสรีภาพสาธารณะ (Public
Freedom) เราจำเป็นต้องมีระบบซึ่งประชาชนสามารถควบคุมกฎหมายที่มอบเสรีภาพส่วนบุคคลให้แก่เราอย่างที่ผมพูดไปในตอนแรก
แล้วเราจะสร้างมันขึ้นมาได้อย่างไร? แน่นอนว่าเราจำเป็นต้องมีประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง
ผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่ต้องสงสัย แต่เราต้องการอะไรที่มากกว่านั้นเช่นกัน
เราต้องการอย่างน้อยอีกสามสิ่งที่มากไปกว่านั้น
ประการแรก
เราต้องการสถานการณ์ที่คนกลุ่มน้อย ทั้งคนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์
คนกลุ่มน้อยทางศาสนา ได้รับการปกป้องจากการคุกคามของเจตจำนงของเสียงส่วนใหญ่หรือวัฒนธรรมของเสียงส่วนใหญ่
ตัวอย่างคือกฎหมายเกี่ยวกับตำรวจ ถ้าเรามีสถานการณ์ที่ทุกภาคส่วนย่อยของสังคม
ทั้งชนกลุ่มน้อยหรือคนแอฟริกันอเมริกัน มีความรู้สึกว่าตำรวจไม่ได้ปกป้องพวกเขาเท่าเทียมกับคนกลุ่มอื่น
หรือกระทั่งมองตำรวจเป็นภัยคุกคามต่อชุมชนของพวกเขา นั่นย่อมเป็นปัญหาอย่างแท้จริง
นั่นหมายความว่าจากมุมมองของคนกลุ่มน้อย
เขาเห็นว่าคนส่วนใหญ่กำลังกำหนดพฤติกรรมของรัฐบาล
และนั่นหมายความว่าพวกเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในการควบคุมกฎหมายที่ควรจะปกป้องพวกเขาอย่างเท่าเทียม
สิ่งที่เราต้องการประการที่สอง
นอกเหนือจากการปกป้องคนกลุ่มน้อย คือการปกป้องเสียงส่วนใหญ่ ในกรณีนี้คือการปกป้องเสียงส่วนใหญ่จากกลุ่มชนชั้นนำในประเทศของเรา
โดยเฉพาะชนชั้นนำทางการเงินที่ควบคุมสิ่งที่รัฐบาลทำ นั่นเพราะ ถ้าหากชนชั้นนำเหล่านั้นสามารถกำหนดความเป็นไปต่อนโยบายของรัฐบาลเพื่อตอบสนองต่อผลประโยชน์ของบริษัท
การเงิน และผลประโยชน์ของพวกเขา ทั้งต่อนโยบายการเก็บภาษีและในกฎหมายต่างๆ เช่น กฎหมายสิ่งแวดล้อม
ภายใต้ภาวะแบบนั้นแปลว่าพวกเราที่เหลือทั้งหมดไม่ได้มีส่วนร่วมในการควบคุมกฎหมายอย่างเท่าเทียม
ดังนั้นเราจึงต้องการเครื่องมือที่จะใช้ควบคุมอิทธิพลของชนชั้นนำทางการเงินในปัจจุบันที่มีเหนือรัฐบาล
และสิ่งที่เราต้องการประการสุดท้าย
คือระบอบประชาธิปไตยที่มีการโต้เถียงท้าทายได้
ไม่ใช่แค่การปกป้องคนกลุ่มน้อยจากเสียงส่วนใหญ่ หรือปกป้องเสียงส่วนใหญ่จากเสียงส่วนน้อย
แต่ยังรวมไปถึงการรับประกันว่าพวกเราในฐานะปัจเจกบุคคลทั้งหลายสามารถท้าทายสิ่งที่รัฐบาลกำลังเสนอและลงมือปฏิบัติอยู่ได้
นี่เป็นสิ่งที่เรามักทำได้สำเร็จผ่านกลุ่มองค์กรนอกภาครัฐ (NGOs) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของชีวิตพลเมืองในการติดตามตรวจสอบและสอดส่องรัฐบาล
ราคาของเสรีภาพที่คนมักพูดถึงกันคือการความระมัดระวังอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นี่คือสิ่งที่เราต้องการในตอนนี้
และเรามีหลายองค์ประกอบของประชาธิปไตย
แต่ไม่ใช่ว่าระบอบประชาธิปไตยที่นี่และที่อื่นจะมีทุกองค์ประกอบที่จำเป็นสำหรับการสร้างกฎหมายในนามของประชาชน
เพื่อที่เราทุกคนจะได้ใช้เสรีภาพสาธารณะตลอดจนเสรีภาพส่วนบุคคลอย่างเต็มที่
เราจำเป็นต้องมีความเข้มแข็งในพื้นที่ของเสรีภาพทั้งสองส่วน
ผมขอกล่าวว่าในส่วนของเสรีภาพส่วนบุคคล
ตัวทดสอบที่ดีว่าคุณมีเสรีภาพหรือไม่
คือการที่คุณสามารถมองเข้าไปยังดวงตาของผู้อื่นโดยปราศจากเหตุผลของความกลัวและความเคารพยำเกรง
นอกจากนี้ยังมีตัวทดสอบที่ดีสำหรับจะดูว่าเรามีเสรีภาพสาธารณะหรือไม่
เพื่อดูว่าเราในฐานะประชาชนมีส่วนร่วมอย่างเสมอภาคเท่าเทียมในการควบคุมกฎหมายที่มีไว้ปกป้องพวกเราในชีวิตส่วนตัวหรือไม่
สิ่งที่ตามมาก็คือ เมื่อใดก็ตามที่มีระบบกฎหมาย หรือมีรัฐบาล
มันจะต้องมีการผ่านกฎหมายที่มักสร้างความไม่พอใจให้กับคนจำนวนหนึ่งเสมอ
ไม่ใช่ว่ากฎหมายทุกฉบับจะสามารถทำให้คนทุกคนพึงพอใจได้ และดังนั้นตัวทดสอบที่ดีคือการดูว่า
เรารู้สึกว่ากำลังอาศัยอยู่ในระบอบประชาธิปไตยที่เหมาะสมโดยปราศจากองค์ประกอบสามข้อที่ผมได้กล่าวถึงไปหรือไม่
หรือเมื่อเกิดการตัดสินใจบางอย่างขึ้นที่ส่งผลเสียต่อเรา ตัวเรารู้สึกว่า “โอ้ เราแพ้อีกแล้ว เราเป็นคนส่วนน้อยของสังคม รัฐบาลทำร้ายเราอยู่เสมอ
มันคือเจตจำนงของชนชั้นนำหรืออะไรก็ตามที่สร้างผลกระทบต่อพวกเรา” หรือถ้าเราคิดว่า “มันคือไม่ดี แต่มันคือระบบที่เป็นธรรมแล้ว
มันคือระบบที่พวกเราทุกคนควบคุมอย่างเท่าเทียม มันแค่เป็นโชคร้ายที่กฎหมายไม่เป็นที่พึงพอใจของพวกเรา”
ถ้าเราสามารถคิดได้ว่ามันเป็นเพียงโชคไม่ดี
นั่นแปลว่าเรากำลังอยู่ในสังคมที่เราเชื่อมั่นว่าพวกเราในฐานะประชาชนได้มีส่วนร่วมในการควบคุมกฎหมายอย่างเท่าเทียม
เสรีภาพส่วนบุคคล หมายถึง เสรีภาพภายใต้กฎหมาย
เสรีภาพต่อหน้ากฎหมายและถูกปกป้องโดยกฎหมาย ในระบบวัฒนธรรมที่สนับสนุนการใช้เสรีภาพขั้นพื้นฐานของเรา
เสรีภาพสาธารณะ อย่างที่ผมได้พูดไว้
หมายถึง หมายถึงเสรีภาพเหนือกฎหมาย มันหมายถึงการควบคุมกฎหมาย ว่าพวกเราในฐานะประชาชนมีส่วนร่วมในการสร้างกฎหมายอย่างเสมอภาคเท่าเทียม
ความคิดที่ว่ากฎหมายเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีเสรีภาพ
ในพื้นที่ของเสรีภาพส่วนบุคคล เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับแนวคิดที่ผิดพลาดแบบพวกอิสระนิยม
(libertarian
fallacy) เป็นมายาคติของความคิดที่ว่ามีแต่ระบบตลาดเท่านั้นทีทำให้เรามีเสรีภาพได้
และมองว่ารัฐบาลกับกฎหมายเป็นสิ่งที่รุกล้ำก้าวก่ายเสรีภาพอยู่เสมอ ตรงกันข้าม
ถ้าคุณเริ่มต้นจากกรณีตัวอย่างของ Nora และคุณได้คิดเกี่ยวกับคำถามที่ว่าอะไรคือการเป็นเสรีชน
คุณจะตระหนักว่ากฎหมายเป็นสาระสำคัญที่ทำให้เรามีเสรีภาพ
กฎหมายไม่ใช่ศัตรูของเสรีภาพ มันคือมิตรของเสรีภาพ และในอีกด้านหนึ่ง คือ
เสรีภาพสาธารณะ มันมีมายาคติของพวกอิสระนิยม เป็นข้อสังเกตที่ผิดพลาดของพวกอิสระนิยมที่ไม่ตระหนักว่าระบอบประชาธิปไตยสำคัญเช่นไร
ตัวอย่างเช่น ประเทศจีน ที่ได้สวมกอดรับเอาแนวคิดแบบอิสระนิยมซึ่งสนับสนุนการมีเสรีภาพของตลาดไปใช้ โดยละเลยข้อเท็จจริงว่ามันคือระบบที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมในการควบคุม
มันเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องขจัดมายาคติของพวกลัทธิอิสระนิยมออกไป
และตระหนักว่าเสรีภาพเป็นสิ่งที่รุ่มรวยและเผ็ดร้อน
และเป็นสิ่งที่ยังต้องการให้พวกเราทำงานต่อไปเพื่อให้ได้มันมา
ทั้งในพื้นที่ส่วนตัวและในพื้นที่สาธารณะ
ขอบคุณครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น