วันเสาร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2560

จะรู้ได้อย่างไรว่าคุณมีเสรีภาพที่แท้จริง

จะรู้ได้อย่างไรว่าคุณมีเสรีภาพที่แท้จริง [1]

Philip Pettit[2] พูด
ต่อศักดิ์ จินดาสุขศรี
[3] แปล

        ผมเดาว่าทุกคนในห้องนี้คงคิดเหมือนกันว่าเสรีภาพเป็นอุดมคติ เสรีภาพถูกสร้างขึ้นให้อยู่ในดีเอ็นเอทางวัฒนธรรมของพวกเรา มันถูกสร้างขึ้นให้อยู่ในดีเอ็นเอของความสามารถหยั่งรู้ของมนุษย์ แต่ผมคิดว่าเสรีภาพ-อุดมคติของเสรีภาพ-ได้ถูกยึดกุมมากเกินไปโดยพวกนักเศรษฐศาสตร์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งการเป็นผู้ใช้ตลาดเสรี เศรษฐกิจเสรี กระทั่งโลกเสรี ผมคิดว่านั่นทำให้เสรีภาพกลายเป็นอุดมคติที่อ่อนแอและบางเบาแทนที่จะเป็นอุดมคติอันรุ่มรวยอย่างที่มันเคยเป็น และผมคิดว่ามันสามารถเป็นเช่นนั้นได้อีกครั้งหนึ่ง เป็นอุดมคติที่เราจะนึกถึงเมื่อเราพูดว่าคนๆ หนึ่งเป็นเสรีชนที่แท้จริงหรือไม่ และสังคมหนึ่งๆ เป็นสังคมแห่งเสรีชนหรือไม่

          ผมอยากจะพูดกับพวกคุณเกี่ยวกับวิธีการเพิ่มคุณค่าให้กับแนวคิดเสรีภาพที่กล่าวถึงนี้ และเพื่อจะแนะนำวิธีการดังกล่าว ผมขอกล่าวถึงบทละครเรื่องหนึ่ง ซึ่งพวกคุณหลายคนอาจรู้จัก เป็นบทละครที่น่ามหัศจรรย์ซึ่งเขียนโดย Henrik Ibsen ราว 100 ปีก่อน ชื่อว่า บ้านของตุ๊กตา” (A Doll’s House)  

          และพวกคุณจำนวนหนึ่งที่รู้จักคงจำได้ว่าตัวละครหลักชื่อ Nora หญิงสาวที่แต่งงานกับ Torvald นายธนาคารหนุ่มผู้ร่ำรวย โลกที่ Ibsen กำลังเขียนถึงคือ สแกนดิเนเวีย ราวทศวรรษที่ 1870 ซึ่งเป็นโลกที่ผู้หญิงยังมีสิทธิน้อยมาก Torvald เป็นบุคคลที่มีอำนาจทั้งทางกฎหมายและวัฒนธรรมในความสัมพันธ์ที่เขามีกับ Nora

         สิ่งที่ผมอธิบายมันฟังดูราวกับว่า Nora เป็นผู้หญิงที่ถูกกดขี่รังแก แต่ความจริงแล้ว Torvald เทิดทูน Nora มาก เขาหลงใหลในตัวเธอ และดังนั้นเขาจึงอนุญาตให้เธอทำสิ่งใดก็ได้ตามที่เธอปรารถนา ในสิ่งที่พวกเราคิดว่าเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐาน เธอสามารถแต่งกายในชุดที่เธอปรารถนา เธอสามารถพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปได้ทุกเมื่อที่เธอต้องการและทุกประเด็นที่เธอสามารถเข้าร่วมกับเพื่อนคนใดก็ได้ที่เธออยากจะคบหาด้วย เธอสามารถไปที่โรงภาพยนตร์หรือไม่ก็ได้ตามใจของเธอ แต่สิ่งเดียวที่ Torvald กำหนดไว้เป็นข้อห้ามต่อ Nora คือเธอไม่ควรกินขนม macaroon แต่กระนั้นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับ Nora เพราะเธอสามารถซ่อนขนมเหล่านั้นไว้ในกระโปรงของเธอได้ ด้วยเหตุนี้ Nora จึงเป็นคนที่มีเสรีภาพอย่างเต็มที่ในการทำสิ่งที่เธอต้องการ

          ตอนนี้คำถามที่ผมอยากจะให้คุณได้ลองคิด ก็คือ Nora ถือเป็นเสรีชน/คนที่มีเสรีภาพหรือไม่ ? และผมคิดว่าเธอไม่ใช่เสรีชน

          ขอผมเล่าให้คุณฟังว่าอะไรที่ผมเห็นว่าเป็นปัญหา และผมหวังว่าคุณจะได้แบ่งปันการหยั่งรู้ไปด้วย ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ในขณะที่ Nora ไม่ได้ถูกจำกัดการใช้เสรีภาพ ในขณะที่เธอไม่ได้ถูกแทรกแซงจาก Torvald ในการใช้เสรีภาพขั้นพื้นฐานของเธอ แต่เธอจะมีเสรีภาพเหล่านั้นได้ก็ต่อเมื่อได้รับการอนุญาตจาก Torvald ก่อน เสรีภาพที่เธอมีจึงเป็นเสรีภาพจากความโชคดี มันคือเสรีภาพที่เธอได้รับจากความโชคดีในการมีสามีที่ตามใจเธอในการอยู่ร่วมกัน ด้วยเหตุนี้ Nora จึงขึ้นอยู่กับความกรุณาและความพึงพอใจของ Torvald เพื่อที่จะสามารถใช้เสรีภาพขั้นพื้นฐานได้

          ผมจึงกล่าวว่า Nora ไม่ใช่เสรีชน เพราะในขณะที่เธอไม่ได้ถูกแทรกแซงในการใช้เสรีภาพ แต่เธอกลับตกอยู่ภายใต้เจตจำนงของ Torvald อย่างสิ้นเชิง แบบเดียวกับเจตจำนงของนายทาส เธอถูกครอบงำ (dominated) ในความหมายนั้น เธอถูกทำให้ตกอยู่ภายใต้เจตจำนงของ Torvald สิ่งที่กำกับควบคุมเธออยู่คือเจตจำนงของเขา เธอสามารถทำในสิ่งที่ปรารถนาหรือต้องการได้ แต่ด้วยเหตุผลเดียวก็คือเพราะเขามีเจตจำนงที่อนุญาตให้เธอทำเช่นนั้นได้ เธอจึงไม่ใช่เสรีชน

          นั่นคือปัญหาที่ว่าทำไมเธอจึงไม่มีสิ่งที่อาจเรียกว่า เสรีภาพที่มั่นคง เธอเพียงแค่มีเสรีภาพจากความโชคดีที่ขึ้นอยู่กับการอนุญาตของสามีให้เธอสามารถมีเสรีภาพเช่นนั้นได้

          ตัวอย่างของ Nora ได้สอนบทเรียนบางอย่างแก่พวกเรา เพราะปัญหาที่ผมบรรยายในตัวอย่างที่กล่าวไป-และเราจะตระหนักได้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นคือเธอไม่ใช่เสรีชนที่แท้จริง-เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับทุกภาคส่วนของชีวิตมนุษย์ในสังคมเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เสรีภาพจึงยังคงเป็นอุดมคติที่ท้าทาย

        ตัวอย่างเช่น ปัญหาดังกล่าวก็เกิดขึ้นในครอบครัว ตราบเท่าที่วัฒนธรรมยังไม่สนับสนุนการมีกฎหมายที่เราจำเป็นต้องมีเพื่อมอบสิทธิให้กับคู่สามีภรรยาที่จะต่อสู้กับคู่สมรสของเขา โดยเฉพาะสิทธิของผู้หญิงที่จะต่อสู้กับสามีของพวกเธอ

          ปัญหานี้ยังเกิดขึ้นกับสิทธิในโรงเรียนเช่นกัน เมื่อเด็กสามารถถูกกลั่นแกล้งในชั้นเรียนของเขาได้ถ้าเขาไม่ได้รับการปกป้อง กระทั่งแม้การกลั่นแกล้งจะยังไม่เกิดขึ้น แต่เด็กคนนั้นก็ถือว่าไม่ได้มีเสรีภาพ

          หรือปัญหาดังกล่าวก็เกิดขึ้นในที่ทำงาน ถ้านายจ้างมีสิทธิที่จะไล่ลูกจ้างออกตามใจตนเองโดยไม่มีสาเหตุและไม่มีกระบวนการใดๆ และผมคิดว่าลูกจ้างจำนวนมากกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อชีวิตพวกเขาต้องขึ้นอยู่กับความปรารถนาดีของนายจ้างเพื่อที่จะยังได้รับการจ้างงานต่อไป และผมคิดว่าในแง่นั้น พวกเขามีความคล้ายกับสถานการณ์ของ Nora พวกเขาไม่ได้ใช้เสรีภาพขั้นพื้นฐานอย่างที่พึงปรารถนา พวกเขาต้องระวังสิ่งที่ตนเองพูด บางทีพวกเขาต้องระวังการเลือกพรรคการเมืองที่สนับสนุน พวกเขาต้องระมัดระวังตนเองเพื่อที่จะทำให้นายจ้างพึงพอใจ นั่นหมายความว่าพวกเขาไร้เสรีภาพเช่นเดียวกับ Nora

          ปัญหานี้เกิดขึ้นเช่นกันกับผู้คนจากวัฒนธรรมอื่นและกลุ่มวัฒนธรรมส่วนน้อยที่รับความเสี่ยงของการถูกล้อเลียนและถูกกลั่นแกล้งในพื้นที่สาธารณะอยู่ตลอดเวลา เมื่อวัฒนธรรมหลักไม่สนับสนุนพวกเขา

          เพื่อที่จะมีเสรีภาพ คุณจำเป็นต้องมีกฎหมายและวัฒนธรรมที่สนับสนุนคุณ ที่สร้างความเข้มแข็งให้คุณ กฎหมายและวัฒนธรรมซึ่งอนุญาตให้คุณมองไปที่ตาของคนอื่นโดยปราศจากเหตุผลของความกลัวหรือความเคารพจำยอม ผมคิดว่านั่นจะทำให้คุณมีสิ่งที่เรียกว่า เสรีภาพส่วนบุคคล (personal freedom)  เสรีภาพในฐานะปัจเจกบุคคล

         แต่โชคไม่ดีนัก นั่นเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของเรื่องราวทั้งหมด เพราะถึงแม้ผมกล่าวว่ากฎหมายและวัฒนธรรมเป็นสิ่งจะทำให้คุณเป็นเสรีชนในการใช้เสรีภาพขั้นพื้นฐาน แต่จะดีกว่าถ้าหากกฎหมายและวัฒนธรรมเหล่านั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของคุณอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกับคนอื่นๆ ในสังคมด้วย 

          กฎหมายจะเป็นกฎหมายที่ดีขึ้นถ้ามันเป็นไปในนามของคุณ ในนามของประชาชน ในนามของคุณที่เสมอภาคท่าเทียมกับคนอื่น เมื่อคุณได้มีส่วนร่วมในการควบคุมกฎหมายอย่างเท่าเทียมกับคนอื่น มิเช่นนั้นคุณก็จะตกอยู่ภายใต้อำนาจของบุคคลที่เป็นผู้ควบคุมกฎหมายหรือชนชั้นนำที่ควบคุมกฎหมายอยู่ ดังนั้น แม้คุณจะอาศัยอยู่ในประเทศที่มีผู้นำเผด็จการที่สามารถสร้างระบบกฎหมายที่ดีซึ่งสามารถปกป้องปัจเจกชนได้ แต่มันเป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วข้ามคืน หากผู้นำเผด็จการเปลี่ยนความต้องการของตนเอง คุณไม่ได้มีเสรีภาพที่มั่นคง ความเข้มแข็งของคุณจะหายไปอีกครั้ง มันขึ้นอยู่กับเจตจำนงของผู้นำเผด็จการ

         เช่นเดียวกันหากชนชั้นนำสามารถควบคุมรัฐบาลได้ ตัวอย่างเช่น หากชนชั้นนำทางการเงินสามารถกำหนดนโยบายทางสังคมได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วชีวิตของทุกคนในสังคมก็จะขึ้นอยู่กับชนชั้นนำกลุ่มนั้น    

          เช่นเดียวกันกับกรณีของรัฐบาลอาณานิคม ตัวอย่างคือกรณีของสหรัฐอเมริกาในปี 1766 หากคุณจำได้ เมื่อรัฐสภาเวสมินเตอร์ของสหราชอาณาจักรถอนกฎหมายที่เรียกว่าพระราชบัญญัติอากรแสตมป์ (Stamp Act) เพราะการประท้วงที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา นั่นอาจพูดได้ว่าสหราชอาณาจักรใจดีต่อผู้ใต้อาณานิคมของตนเอง แต่ในการถอดถอนกฎหมายดังกล่าวออกมานั้น พวกเขาได้ออกกฎหมายที่เรียกว่า Declaratory Act ซึ่งระบุว่าในขณะที่ได้ถอนกฎหมายภาษีอากรแสตมป์ออกมา แต่สหราชอาณาจักรยังคงมีสิทธิและอำนาจที่จะเก็บภาษีชาวอเมริกันผู้อยู่ใต้อาณานิคมได้ตามที่สหราชอาณาจักรต้องการ  และนั้นคือแก่นสำคัญของความไม่พอใจของชาวอเมริกันที่เกิดขึ้นในปลายทศวรรษที่ 1760 นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมรัฐสภาเวสมินเตอร์ของสหราชอาณาจักรจึงเป็นเจ้านายที่ใจดี เช่นเดียวกับที่ Torvald ใจดีกับ Nora นั่นยังคงเป็นข้ออ้างของสถานะความเป็นนาย และหากคุณตกอยู่ภายใต้เจตจำนงของคนอื่นหรือในกรณีนี้คือเจตจำนงของประเทศอื่น

          คุณไม่สามารถมีเสรีภาพได้เ นื่องจากกฎหมายซึ่งมอบเสรีภาพส่วนบุคคลให้คุณเองก็ยังไม่เข้มแข็งพอเพราะตัวกฎหมายเองก็ดันไปขึ้นอยู่กับเจตจำนงของตัวแสดงอื่นที่แปลกแยกจากตัวคุณ ในกรณีนี้คือรัฐสภาของประเทศอื่น

          ด้วยเหตุนี้เพื่อที่จะมีเสรีภาพที่มั่นคงเข้มแข็ง เราจำเป็นต้องมีเสรีภาพในความหมายที่สอง นั่นคือ เสรีภาพสาธารณะ (Public Freedom) เราจำเป็นต้องมีระบบซึ่งประชาชนสามารถควบคุมกฎหมายที่มอบเสรีภาพส่วนบุคคลให้แก่เราอย่างที่ผมพูดไปในตอนแรก

          แล้วเราจะสร้างมันขึ้นมาได้อย่างไร? แน่นอนว่าเราจำเป็นต้องมีประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง ผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่ต้องสงสัย แต่เราต้องการอะไรที่มากกว่านั้นเช่นกัน เราต้องการอย่างน้อยอีกสามสิ่งที่มากไปกว่านั้น

          ประการแรก เราต้องการสถานการณ์ที่คนกลุ่มน้อย ทั้งคนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ คนกลุ่มน้อยทางศาสนา ได้รับการปกป้องจากการคุกคามของเจตจำนงของเสียงส่วนใหญ่หรือวัฒนธรรมของเสียงส่วนใหญ่ ตัวอย่างคือกฎหมายเกี่ยวกับตำรวจ ถ้าเรามีสถานการณ์ที่ทุกภาคส่วนย่อยของสังคม ทั้งชนกลุ่มน้อยหรือคนแอฟริกันอเมริกัน มีความรู้สึกว่าตำรวจไม่ได้ปกป้องพวกเขาเท่าเทียมกับคนกลุ่มอื่น หรือกระทั่งมองตำรวจเป็นภัยคุกคามต่อชุมชนของพวกเขา นั่นย่อมเป็นปัญหาอย่างแท้จริง นั่นหมายความว่าจากมุมมองของคนกลุ่มน้อย เขาเห็นว่าคนส่วนใหญ่กำลังกำหนดพฤติกรรมของรัฐบาล และนั่นหมายความว่าพวกเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในการควบคุมกฎหมายที่ควรจะปกป้องพวกเขาอย่างเท่าเทียม

          สิ่งที่เราต้องการประการที่สอง นอกเหนือจากการปกป้องคนกลุ่มน้อย คือการปกป้องเสียงส่วนใหญ่ ในกรณีนี้คือการปกป้องเสียงส่วนใหญ่จากกลุ่มชนชั้นนำในประเทศของเรา โดยเฉพาะชนชั้นนำทางการเงินที่ควบคุมสิ่งที่รัฐบาลทำ นั่นเพราะ ถ้าหากชนชั้นนำเหล่านั้นสามารถกำหนดความเป็นไปต่อนโยบายของรัฐบาลเพื่อตอบสนองต่อผลประโยชน์ของบริษัท การเงิน และผลประโยชน์ของพวกเขา ทั้งต่อนโยบายการเก็บภาษีและในกฎหมายต่างๆ เช่น กฎหมายสิ่งแวดล้อม ภายใต้ภาวะแบบนั้นแปลว่าพวกเราที่เหลือทั้งหมดไม่ได้มีส่วนร่วมในการควบคุมกฎหมายอย่างเท่าเทียม ดังนั้นเราจึงต้องการเครื่องมือที่จะใช้ควบคุมอิทธิพลของชนชั้นนำทางการเงินในปัจจุบันที่มีเหนือรัฐบาล

          และสิ่งที่เราต้องการประการสุดท้าย คือระบอบประชาธิปไตยที่มีการโต้เถียงท้าทายได้ ไม่ใช่แค่การปกป้องคนกลุ่มน้อยจากเสียงส่วนใหญ่ หรือปกป้องเสียงส่วนใหญ่จากเสียงส่วนน้อย แต่ยังรวมไปถึงการรับประกันว่าพวกเราในฐานะปัจเจกบุคคลทั้งหลายสามารถท้าทายสิ่งที่รัฐบาลกำลังเสนอและลงมือปฏิบัติอยู่ได้ นี่เป็นสิ่งที่เรามักทำได้สำเร็จผ่านกลุ่มองค์กรนอกภาครัฐ (NGOs) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของชีวิตพลเมืองในการติดตามตรวจสอบและสอดส่องรัฐบาล ราคาของเสรีภาพที่คนมักพูดถึงกันคือการความระมัดระวังอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  นี่คือสิ่งที่เราต้องการในตอนนี้

          และเรามีหลายองค์ประกอบของประชาธิปไตย แต่ไม่ใช่ว่าระบอบประชาธิปไตยที่นี่และที่อื่นจะมีทุกองค์ประกอบที่จำเป็นสำหรับการสร้างกฎหมายในนามของประชาชน เพื่อที่เราทุกคนจะได้ใช้เสรีภาพสาธารณะตลอดจนเสรีภาพส่วนบุคคลอย่างเต็มที่ เราจำเป็นต้องมีความเข้มแข็งในพื้นที่ของเสรีภาพทั้งสองส่วน

          ผมขอกล่าวว่าในส่วนของเสรีภาพส่วนบุคคล ตัวทดสอบที่ดีว่าคุณมีเสรีภาพหรือไม่ คือการที่คุณสามารถมองเข้าไปยังดวงตาของผู้อื่นโดยปราศจากเหตุผลของความกลัวและความเคารพยำเกรง นอกจากนี้ยังมีตัวทดสอบที่ดีสำหรับจะดูว่าเรามีเสรีภาพสาธารณะหรือไม่ เพื่อดูว่าเราในฐานะประชาชนมีส่วนร่วมอย่างเสมอภาคเท่าเทียมในการควบคุมกฎหมายที่มีไว้ปกป้องพวกเราในชีวิตส่วนตัวหรือไม่ สิ่งที่ตามมาก็คือ เมื่อใดก็ตามที่มีระบบกฎหมาย หรือมีรัฐบาล มันจะต้องมีการผ่านกฎหมายที่มักสร้างความไม่พอใจให้กับคนจำนวนหนึ่งเสมอ ไม่ใช่ว่ากฎหมายทุกฉบับจะสามารถทำให้คนทุกคนพึงพอใจได้ และดังนั้นตัวทดสอบที่ดีคือการดูว่า เรารู้สึกว่ากำลังอาศัยอยู่ในระบอบประชาธิปไตยที่เหมาะสมโดยปราศจากองค์ประกอบสามข้อที่ผมได้กล่าวถึงไปหรือไม่ หรือเมื่อเกิดการตัดสินใจบางอย่างขึ้นที่ส่งผลเสียต่อเรา ตัวเรารู้สึกว่า โอ้ เราแพ้อีกแล้ว เราเป็นคนส่วนน้อยของสังคม รัฐบาลทำร้ายเราอยู่เสมอ มันคือเจตจำนงของชนชั้นนำหรืออะไรก็ตามที่สร้างผลกระทบต่อพวกเราหรือถ้าเราคิดว่า มันคือไม่ดี แต่มันคือระบบที่เป็นธรรมแล้ว มันคือระบบที่พวกเราทุกคนควบคุมอย่างเท่าเทียม มันแค่เป็นโชคร้ายที่กฎหมายไม่เป็นที่พึงพอใจของพวกเราถ้าเราสามารถคิดได้ว่ามันเป็นเพียงโชคไม่ดี นั่นแปลว่าเรากำลังอยู่ในสังคมที่เราเชื่อมั่นว่าพวกเราในฐานะประชาชนได้มีส่วนร่วมในการควบคุมกฎหมายอย่างเท่าเทียม

          เสรีภาพส่วนบุคคล หมายถึง เสรีภาพภายใต้กฎหมาย เสรีภาพต่อหน้ากฎหมายและถูกปกป้องโดยกฎหมาย ในระบบวัฒนธรรมที่สนับสนุนการใช้เสรีภาพขั้นพื้นฐานของเรา

          เสรีภาพสาธารณะ อย่างที่ผมได้พูดไว้ หมายถึง หมายถึงเสรีภาพเหนือกฎหมาย มันหมายถึงการควบคุมกฎหมาย  ว่าพวกเราในฐานะประชาชนมีส่วนร่วมในการสร้างกฎหมายอย่างเสมอภาคเท่าเทียม

          ความคิดที่ว่ากฎหมายเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีเสรีภาพ ในพื้นที่ของเสรีภาพส่วนบุคคล เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับแนวคิดที่ผิดพลาดแบบพวกอิสระนิยม (libertarian fallacy) เป็นมายาคติของความคิดที่ว่ามีแต่ระบบตลาดเท่านั้นทีทำให้เรามีเสรีภาพได้ และมองว่ารัฐบาลกับกฎหมายเป็นสิ่งที่รุกล้ำก้าวก่ายเสรีภาพอยู่เสมอ ตรงกันข้าม ถ้าคุณเริ่มต้นจากกรณีตัวอย่างของ Nora และคุณได้คิดเกี่ยวกับคำถามที่ว่าอะไรคือการเป็นเสรีชน คุณจะตระหนักว่ากฎหมายเป็นสาระสำคัญที่ทำให้เรามีเสรีภาพ กฎหมายไม่ใช่ศัตรูของเสรีภาพ มันคือมิตรของเสรีภาพ และในอีกด้านหนึ่ง คือ เสรีภาพสาธารณะ มันมีมายาคติของพวกอิสระนิยม เป็นข้อสังเกตที่ผิดพลาดของพวกอิสระนิยมที่ไม่ตระหนักว่าระบอบประชาธิปไตยสำคัญเช่นไร

          ตัวอย่างเช่น ประเทศจีน ที่ได้สวมกอดรับเอาแนวคิดแบบอิสระนิยมซึ่งสนับสนุนการมีเสรีภาพของตลาดไปใช้ โดยละเลยข้อเท็จจริงว่ามันคือระบบที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมในการควบคุม 

       มันเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องขจัดมายาคติของพวกลัทธิอิสระนิยมออกไป และตระหนักว่าเสรีภาพเป็นสิ่งที่รุ่มรวยและเผ็ดร้อน และเป็นสิ่งที่ยังต้องการให้พวกเราทำงานต่อไปเพื่อให้ได้มันมา ทั้งในพื้นที่ส่วนตัวและในพื้นที่สาธารณะ

          ขอบคุณครับ  
         
         
             
         
         




[1] แปลมาจาก TEDxNewYork หัวข้อ How do you know if you are truly free?  ที่มา: https://www.youtube.com/watch?v=1rTEOU67zCo เข้าถึงเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ..2560
[2] นักปรัชญาและนักทฤษฎีการเมืองชาวไอริช ปัจจุบันสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (ANU)  
[3] ปริญญาโท สาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น