Nancy
Fraser[2]
เขียน
ต่อศักดิ์ จินดาสุขศรี แปลและเรียบเรียง
เผยแพร่ในเว็บไซต์ประชาไท: http://prachatai.org/journal/2016/02/63992
ในฐานะที่เป็นทั้งนักสตรีนิยมที่สนใจปัญหาของผู้หญิง
และยังเป็นนักทฤษฎีวิพากษ์ที่สนใจปัญหาเศรษฐศาสตร์การเมืองรวมทั้งการวิพากษ์วิจารณ์ระบบทุนนิยม
Nancy
Fraser ได้นำเสนอบทวิเคราะห์ปัญหาสถานการณ์ของสตรีนิยมในปัจจุบันจากสายตาของเธอ
โดยนำเอาความสนใจทั้งสองด้านมาประกอบกัน
การเป็นนักสตรีนิยมทำให้เธอเชื่อมาตลอดว่าภารกิจหลักในการปลดปล่อยผู้หญิงจะช่วยทำให้พวกเธอสร้างโลกที่ดีขึ้นกว่าเดิมได้
นั่นคือโลกที่เสมอภาค มีความยุติธรรมและมีเสรี แต่เมื่อไม่นานมานีอุดมคติของการปลดปล่อยผู้หญิงที่ริเริ่มโดยบรรดานักสตรีนิยม
กลับให้ผลลัพธ์และหันไปรับใช้เป้าหมายที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
นั่นคือการวิพากษ์การกีดกันทางเพศ (sexism) ของนักสตรีนิยม กำลังกลายเป็นเหตุผลสนับสนุนความไม่เท่าเทียมและการกดขี่ขูดรีดรูปแบบใหม่ที่เกิดจากระบบทุนนิยมโดยไม่รู้ตัว
ปรากฏการณ์เหล่านี้ถือเป็นการบิดผันอันโหดร้ายของโชคชะตา
เมื่อการปลดปล่อยผู้หญิงตามแนวทางของสตรีนิยมคลื่นลูกที่สอง[3]
กำลังกลายเป็นหุ้นส่วนที่อันตรายของลัทธิเสรีนิยมใหม่ (neoliberalism) ที่พยายามจะสร้างสังคมตลาดเสรีขึ้นมา
แต่เดิมนั้นความคิดแบบสตรีนิยมเคยเป็นส่วนหนึ่งของการพยายามสร้างโลกทัศน์ในเชิงวิพากษ์
แต่ในปัจจุบันมันกลับค่อย ๆ กลายเป็นคำอธิบายที่มีลักษณะในเชิงปัจเจกบุคคลมากขึ้นเรื่อย
ๆ ครั้งหนึ่งที่สตรีนิยมเคยวิพากษ์วิจารณ์สังคมซึ่งส่งเสริมแนวคิดความก้าวหน้าทางอาชีพ ตอนนี้มันกำลังให้ความสำคัญกับการสนับสนุนให้ผู้หญิงเข้าไปต่อสู้
"เผชิญความท้าทาย" ในระบบตลาดเสรี
การเคลื่อนไหวซึ่งครั้งหนึ่งเคยให้ความสำคัญกับภราดรภาพทางสังคม ตอนนี้กลับสนับสนุนการมีผู้ประกอบการหญิงที่เข้าไปแข่งขันในระบบทุนนิยม
ทัศนคติที่ครั้งหนึ่งเคยให้คุณค่ากับ "การเอาใจใส่" (care) และการพึ่งพาซึ่งกันและกัน
ตอนนี้มันกลับหันมาส่งเสริมความก้าวหน้าและความสำเร็จในอาชีพโดยความสามารถส่วนตัวของปัจเจกแบบแยกขาดจากผู้อื่น
สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ คือการเปลี่ยนแปลงในคุณลักษณะพื้นฐานของระบบทุนนิยม
จากเดิมที่เคยเป็นระบบทุนนิยมที่กำกับควบคุมโดยรัฐ (state-managed capitalism) ในช่วงเวลาหลังสงคราม กลายเป็นระบบทุนนิยมรูปแบบใหม่ที่
"ยุ่งเหยิง" ที่มีลักษณะครอบคลุมทั่วทั้งโลกและเป็นเสรีนิยมใหม่
สตรีนิยมคลื่นลูกที่สองถือกำเนิดขึ้นจากการวิพากษ์สิ่งแรก
(ทุนนิยมที่กำกับควบคุมโดยรัฐ) และกำลังกลายเป็นสาวรับใช้ของสิ่งหลัง
(ทุนนิยมแบบเสรีนิยมโลกาภิวัตน์)
เมื่อมองย้อนกลับไป
เราจะเห็นว่าการเคลื่อนไหวเพื่อปลดปล่อยผู้หญิงได้ชี้ให้เห็นความเป็นไปได้ในอนาคตที่แตกต่างกันสองสถานการณ์ไปพร้อมๆกัน
สถานการณ์แรก การปลดปล่อยผู้หญิงได้นำเสนอโลกซึ่งการปลดปล่อยในเชิงเพศสภาพเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม
(participatory
democracy) และภราดรภาพทางสังคม ขณะที่สถานการณ์ที่สอง การปลดปล่อยผู้หญิงได้ให้คำมั่นสัญญาต่อเสรีนิยมรูปแบบใหม่ว่าจะอนุญาตและส่งเสริมให้ผู้หญิงมีอำนาจในการจัดการชีวิตของตนเอง
ให้พวกเธอได้มีทางเลือกในชีวิตที่เพิ่มมากขึ้น
และมีความก้าวหน้าด้วยความสามารถของตนเองเช่นเดียวกับผู้ชาย
ในแง่นี้สตรีนิยมคลื่นลูกที่สองจึงมีความสับสนและขัดแย้งในตัวเองอยู่
ความสับสนของสตรีนิยมดังกล่าวคลี่คลายลงด้วยการหันไปสนับสนุนและเลือกข้างกรณีที่สอง
คือการส่งเสริมปัจเจกบุคคลแบบเสรีนิยมใหม่ แต่ที่ลงเอยเช่นนั้นไม่ใช่เป็นเพราะสตรีนิยมตกเป็นเหยื่อของสิ่งเย้ายวนล่อลวงใจของลัทธิเสรีนิยมใหม่โดยดุษณี
ในทางตรงกันข้าม สตรีนิยมเองกลับมีส่วนในการส่งเสริมแนวความคิดหลักที่สำคัญ 3 ประการให้กับพัฒนาการดังกล่าว
ความช่วยเหลือประการที่หนึ่งของสตรีนิยมต่อระบบทุนนิยมแบบใหม่
คือการวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อ “ระดับค่าจ้างที่เพียงพอสำหรับการเลี้ยงครอบครัว” (family wage) อันเป็นแนวคิดที่เชื่อว่าผู้ชายคือผู้หาเลี้ยงครอบครัวและผู้หญิงคือผู้ดูแลครัวเรือน
ความคิดดังกล่าวเป็นหัวใจสำคัญของระบบทุนนิยมที่กำกับควบคุมโดยรัฐ
การวิพากษ์ของสตรีนิยมต่ออุดมคติทางความคิดดังกล่าวกำลังสร้างความชอบธรรมให้กับ
"ระบบทุนนิยมที่ยืดหยุ่น" (flexible capitalism) ซึ่งพึ่งพิงแรงงานลูกจ้างที่เป็นผู้หญิงอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานค่าแรงต่ำในภาคบริการและภาคการผลิต
ซึ่งไม่ใช่เฉพาะผู้หญิงวัยรุ่นที่เป็นโสดเท่านั้น
แต่ยังรวมถึงผู้หญิงที่แต่งงานและผู้หญิงที่มีลูกแล้ว ไม่ใช่เฉพาะผู้หญิงเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่ง
แต่รวมถึงผู้หญิงทุกสัญชาติและชาติพันธุ์ เมื่อผู้หญิงทั่วโลกถูกผลักดันเข้าสู่ตลาดแรงงาน
อุดมคติของระบบทุนนิยมที่กำกับควบคุมโดยรัฐแต่เดิมจึงถูกแทนที่ด้วยบรรทัดฐานที่ใหม่กว่าและมีความเป็นสมัยใหม่กว่าซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างชัดแจ้งจากสตรีนิยม
นั่นคือบรรทัดฐานของครอบครัวที่มีรายได้มาจากทั้งผู้ชายและผู้หญิง
ถึงแม้สภาพความเป็นจริงที่เป็นรากฐานของอุดมคติแบบใหม่คือการกดค่าจ้างแรงงาน
ลดความมั่นคงในการทำงาน มาตรฐานคุณภาพชีวิตที่เสื่อมถอย
การเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณของอัตราชั่วโมงการทำงานแลกค่าจ้างต่อครัวเรือน และการเพิ่มขึ้นของความยากจน
โดยเฉพาะกับครอบครัวที่มีผู้หญิงเป็นหัวหน้าครอบครัว แต่เสรีนิยมใหม่กลับพยายามกลบเกลื่อนสิ่งที่เลวร้ายทั้งปวงเหล่านี้
โดยการประดิษฐ์สร้างเรื่องราวเกี่ยวกับการเสริมสร้างอำนาจให้ผู้หญิง ซ้ำร้าย
การที่ทุนนิยมสวมรอยอ้างการวิพากษ์วิจารณ์ของสตรีนิยมที่มีต่อระดับค่าจ้างที่เพียงพอสำหรับการเลี้ยงครอบครัวเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการขูดรีดเอาเปรียบในตลาดแรงงาน
ยังเป็นการควบคุมความใฝ่ฝันที่จะปลดปล่อยผู้หญิงเพื่อใช้สนับสนุนการสะสมทุนของระบบทุนนิยมเอง
สตรีนิยมยังให้ความช่วยเหลือประการที่สองแก่จิตวิญญาณของเสรีนิยมใหม่
ครั้งหนึ่งในยุคของทุนนิยมที่กำกับควบคุมโดยรัฐ
สตรีนิยมเคยวิพากษ์วิจารณ์วิสัยทัศน์ทางการเมืองที่คับแคบซึ่งพุ่งเป้าไปที่ความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น
จนมองไม่เห็นประเด็นเรื่องความอยุติธรรม "ที่ไม่ใช่เรื่องทางเศรษฐกิจ"
อย่างเช่นความรุนแรงในครอบครัว การล่วงละเมิดทางเพศ
และการบีบบังคับให้ตั้งครรภ์ การปฏิเสธแนวคิด
“เศรษฐกิจนิยม” (economism) และพยายามทำให้ “เรื่องส่วนตัว” (the personal) กลายเป็นเรื่องทางการเมือง
ทำให้สตรีนิยมในเวลานั้นขยายขอบเขตของวาระทางการเมืองเพื่อท้าทายสถานะของความเหลื่อมล้ำที่วางอยู่บนฐานของความแตกต่างในเชิงเพศสภาพอันเป็นผลมาจากการประกอบสร้างทางวัฒนธรรม
ผลลัพธ์ที่คาดหวังควรเป็นการขยายตัวของการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมที่ครอบคลุมทั้งพื้นที่ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ
แต่ผลลัพธ์จริงๆ กลับกลายเป็นการให้ความสำคัญแต่เฉพาะประเด็นเกี่ยวกับ “อัตลักษณ์ทางเพศ”
(gender identity) และละเลยประเด็นเรื่องปากท้องไป ที่แย่ไปกว่านั้น
การที่สตรีนิยมได้หันไปหาการเมืองเรื่องอัตลักษณ์ยังสอดรับอย่างประจวบเหมาะกับการเติบโตขึ้นของลัทธิเสรีนิยมใหม่ที่ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการปิดกั้นทุกความทรงจำที่มีต่อความเท่าเทียมทางสังคม
ผลกระทบต่อเรื่องนี้คือการที่สตรีนิยมให้ความสำคัญกับการวิพากษ์การกีดกันทางเพศในเชิงวัฒนธรรมอย่างมากในเวลาที่สภาพแวดล้อมทางสังคมกำลังต้องการความสนใจเป็นทวีคูณต่อการวิพากษ์ทางเศรษฐศาสตร์การเมือง
สุดท้าย สตรีนิยมได้ให้ความช่วยเหลือทางความคิดประการที่สามต่อลัทธิเสรีนิยมใหม่
นั่นคือการวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อรัฐสวัสดิการแบบนิยมชาย (welfare-state paternalism) ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าอย่างปฏิเสธไม่ได้ในช่วงเวลาของทุนนิยมที่กำกับควบคุมโดยรัฐ
การวิพากษ์ดังกล่าวได้ผสานเข้ากับการทำสงครามของลัทธิเสรีนิยมใหม่ต่อ “รัฐพี่เลี้ยงเด็ก” (the nanny state) รวมทั้งยังบรรจบกับการถากถางของเหล่า
NGOs เมื่อไม่นานมานี้อีกด้วย
ตัวอย่างสำคัญคือการปล่อยสินเชื่อในระดับรากหญ้า (microcredit) ซึ่งเป็นโครงการของธนาคารขนาดเล็กที่ปล่อยเงินกู้ให้แก่ผู้หญิงในซีกโลกทางใต้
โครงการดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการเพิ่มอำนาจให้แก่ผู้หญิง ทั้งยังได้รับยกย่องว่าเป็นยาถอนพิษความยากจนและการถูกครอบงำของผู้หญิง
อย่างไรก็ตามการปล่อยสินเชื่อในระดับรากหญ้ากลับส่งผลให้รัฐเมินเฉยต่อการต่อสู้กับความยากจนในโครงสร้างระดับมหภาค
ซึ่งเป็นอีกครั้งที่เสรีนิยมใหม่ฉวยใช้ความพยายามของสตรีนิยมเพื่อเป็นข้ออ้างในการให้ความชอบธรรมกับการขยายตัวของตลาดและการลดรายจ่ายทางสังคมของภาครัฐ
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ยืนยันว่าความสับสนและขัดแย้งภายในของสตรีนิยมคลี่คลายไปในหนทางที่สนับสนุนลัทธิปัจเจกนิยมแบบเสรีนิยมใหม่
แต่ทว่าสถานการณ์ของภราดรภาพทางสังคมในอีกด้านหนึ่งยังอาจไม่ได้ตายจากไปไหนอย่างสิ้นเชิง
วิกฤติในรอบปัจจุบันได้สร้างโอกาสในการเชื่อมต่อความฝันที่จะปลดปล่อยผู้หญิงเข้ากับวิสัยทัศน์ของสังคมที่มีภราดรภาพได้อีกครั้ง
เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว สตรีนิยมจำเป็นต้องทำลายความสัมพันธ์ที่อันตรายกับลัทธิเสรีนิยมใหม่
และกอบกู้ “ความช่วยเหลือ” 3 ประการเพื่อเป้าหมายของสตรีนิยมเอง
ประการแรก สตรีนิยมอาจทำลายการเชื่อมโยงจอมปลอมระหว่างการวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อระดับค่าจ้างที่เพียงพอสำหรับการเลี้ยงครอบครัวกับระบบทุนนิยมแบบยืดหยุ่น
ด้วยการต่อสู้เพื่อสร้างรูปแบบของชีวิตที่ไม่ได้มีศูนย์กลางอยู่ที่งานที่มีค่าจ้าง
และหันมาให้คุณค่ากับกิจกรรมที่ไม่มีค่าตอบแทนมากขึ้น เช่น งานสังคมสงเคราะห์ (care work)
ประการที่สอง สตรีนิยมอาจหยุดยั้งเส้นทางของตนเองที่ผันตัวจากการวิพากษ์ลัทธิเศรษฐกิจนิยมไปสู่การเมืองเชิงอัตลักษณ์
ด้วยการบูรณาการการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงระเบียบของสถานภาพทางสังคมที่วางอยู่บนคุณค่าในเชิงวัฒนธรรมแบบผู้ชาย
เข้ากับการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมทางเศรษฐกิจ
ประการสุดท้าย สตรีนิยมอาจตัดสายสัมพันธ์ที่จอมปลอมระหว่างการวิพากษ์วิจารณ์ของตนเองที่มีต่อระบบราชการและแนวคิดที่เชื่อมั่นในตลาดเสรีอย่างสุดขั้ว
(free-market
fundamentalism) ด้วยการทวงคืนบทบาทของระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมในฐานะเครื่องมือในการสร้างความเข้มแข็งให้กับอำนาจสาธารณะอันเป็นสิ่งจำเป็นต่อการจำกัดอำนาจทุนเพื่อสร้างความยุติธรรม
[1]
แปลและเรียบเรียงจากบทความ Nancy Fraser. “How
feminism became capitalism's handmaiden - and how to reclaim it”. The Guardian. http://www.theguardian.com/commentisfree/2013/oct/14/feminism-capitalist-handmaiden-neoliberal ผู้แปลขอขอบคุณภาคิน
นิมมานนรวงศ์ ที่ให้ความช่วยเหลือในการขัดเกลาภาษาของผู้แปลให้ดียิ่งขึ้น
[2]
นักปรัชญาและนักทฤษฎีวิพากษ์ชาวอเมริกัน
[3]
สตีนิยมคลื่นลูกที่สอง (The second-wave feminism) นั้นสามารถระบุได้ว่าปรากฏตัวขึ้นเป็นกระแสในช่วงกลางศตวรรษที่
20 พร้อมกับการตีพิมพ์หนังสือสำคัญของ
Simone
de Beauvoir ที่ชื่อ The Second Sex ขบวนการเคลื่อนไหวของสตรีนิยมคลื่นลูกที่สองนั้นมีลักษณะสำคัญคือเป็นกระแสที่พยายามจะก้าวไปให้ไกลกว่าการต่อสู้และข้อเรียกร้องของสตรีนิยมคลื่นลูกที่หนึ่ง
ที่ให้ความสำคัญกับสถานะความไม่เท่าเทียมทางการเมืองและกฎหมายของผู้หญิง โดยสตรีนิยมคลื่นลูกที่สองเสนอว่าแม้การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางการเมืองและกฎหมายจะเป็นเรื่องสำคัญ
แต่ก็ยังไม่เพียงพอในการยุติการกดขี่ที่มีต่อผู้หญิงให้หมดไป
ในมุมมองของสตรีนิยมคลื่นลูกที่สองการกดขี่ทางเพศไม่ได้มีรากอยู่แค่ในระบบกฎหมายและการจัดการทางการเมืองเท่านั้น
แต่การกดขี่ทางเพศมีสาเหตุมาจากทุกแง่มุมที่ฝังลึกและแพร่กระจายอยู่ในแทบทุกมิติของชีวิตทางสังคมของมนุษย์
ซึ่งหมายรวมทั้งมิติทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ตลอดจนบรรทัดฐานทางสังคมที่ไม่ถูกตั้งคำถาม
กิจวัตรและปฏิสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน รวมทั้งความสัมพันธ์ส่วนบุคคล ยิ่งไปกว่านั้นสตรีนิยมคลื่นลูกที่สองยังได้วิพากษ์วิจารณ์สตรีนิยมคลื่นลูกที่หนึ่งเอาไว้ว่านำเสนอข้อเรียกร้องที่ไม่ไกลพอในการปฏิรูปเศรษฐกิจ
สตรีนิยมคลื่นลูกที่สองเสนอว่า สตรีนิยมจำเป็นต้องเรียกร้องความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจอย่างเต็มขั้นสำหรับผู้หญิงมากกว่าการเรียกร้องเพียงแค่การมีชีวิตรอดในทางเศรษฐกิจเท่านั้น
อีกประการที่สำคัญ
สตรีนิยมคลื่นลูกที่สองวิพากษ์วิจารณ์และท้าทายการแบ่งแยกพื้นที่สาธารณะ/ส่วนตัว (public/private) ออกเป็นคู่ขั้วตรงข้าม ซึ่งสตรีนิยมคลื่นลูกที่หนึ่งให้ความสำคัญแต่การเมืองในพื้นที่สาธารณะโดยเรียกร้องการเพิ่มบทบาทและอำนาจให้แก่ผู้หญิงมากขึ้น
แต่สตรีนิยมคลื่นลูกที่สองเสนอให้ลองหันไปตรวจสอบและสำรวจพื้นที่ส่วนตัวของชีวิตทางสังคมของมนุษย์
เช่น สถาบันการแต่งงาน ความเป็นแม่ ความสัมพันธ์แบบรักต่างเพศ เพศวิถีของผู้หญิง
และพื้นที่อื่นๆ ว่าพื้นที่เหล่านี้ต่างก็มีความเป็นการเมืองแฝงอยู่เช่นกัน (The personal is the
political) ดังนั้นแทนที่จะเคลื่อนไหวและผลักดันแค่การปฏิรูปกฎหมายหรือโครงสร้างทางการเมืองที่ดำรงอยู่
สตรีนิยมคลื่นลูกที่สองกลับมีเป้าหมายที่การเปลี่ยนแปลงทุกแง่มุมของชีวิตทางการเมืองและชีวิตส่วนตัวของมนุษย์อย่างถอนรากถอนโคน
ไม่ใช่แค่ในพื้นที่สาธารณะเท่านั้น (โปรดดู Cudd, Ann E., and Robin O.
Andreasen. 2005. Feminist
theory: a philosophical anthology. Oxford, UK: Blackwell Pub. p.7-9)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น